เกมทีมชาติที่เพิ่งผ่านพ้นไป หากเราไม่นับเรื่องผลการแข่งขันของแต่ละสนามแล้วเชื่อว่าเหตุการณ์ความวุ่นวายในเกมที่ บอสเนีย เจอกับ กรีซ น่าจะเป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่ข่าวกีฬาแทบจะทุกสำนักหยิบมาพูดคุยกันในอารมณ์ที่แตกต่างกันไป เพราะสาเหตุของความวุ่นวายครั้งนี้ไม่รู้ว่าจะหัวเราะ หรือ โมโหดี

ความวุ่นวายที่เกิดจากการดึงกางเกง

ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในเกมดังกล่าว เกิดขึ้นเมื่อ เอดิน เชโก้ ศูนย์หน้าตัวเก่งของบอสเนีย ล้มลงแล้วไปดึงกางเกงของผู้เล่นกรีซที่จะเข้ามาเอาบอลเพื่อเล่นต่อ ปรากฏว่าพอดึงกางเกงไปแล้วก็เกิดการแย่งลูกบอลกันชุลมุนไปหมด ทีนี้ทำให้เพื่อนร่วมทีมต่างเข้ามาผสมโรงด้วยทั้งช่วย ทั้งห้ามจนทำให้วุ่นวายไปทั้งสนาม และซุ้มม้านั่งสำรอง

ผลลัพธ์ที่ทำให้เกมเสียหาย

จากความวุ่นวายดังกล่าว ทำให้ทั้งสองคนที่เป็นคู่กรณีโดนไล่ออกไป ไม่ว่าจะเป็น เอดิน เชโก้ที่โดนใบเหลืองที่สองเป็นใบแดง และ คีเรียกอส ปาปาโดปูลอส โดนใบแดงโดยตรงออกจากสนามไป แต่ที่น่าเจ็บใจกว่าก็คือ ทางบอสเนียไม่สามารถยันสกอร์ที่นำอยู่ 1-0 ไว้ได้ มาเขื่อนแตกในนาทีที่ 90+5 โดนกรีซตีเสมอไปอย่างเจ็บแสบที่สุด

ผู้ตัดสินทำหน้าที่ถูกต้องหรือไม่

เหตุการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นนั้นผู้ตัดสินจัดการไปอย่างนี้แล้วถูกต้องหรือไม่ อันนี้ก็ต้องบอกเลยว่า เหมาะสมแล้วเนื่องจากเชโก้เอง ก็พยายามที่จัดขัดขวางการเล่นของฝ่ายตรงข้ามเหมือนกัน ส่วนปาปาโดปูลอส เอาเข้าจริงก็ตอดเชโก้มาตั้งแต่ก่อนจะล้มลงแล้ว เลยไม่แปลกที่จะมีอารมณ์ต่อเนื่องกันมา ส่วนผลลัพธ์ของเกมที่เกิดขึ้นที่โดนตีเสมอท้ายเกมอันนี้ทางบอสเนียก็ต้องโทษตัวเองด้วยว่า รักษาสกอรกันไม่ได้เอง เพราะงั้นอย่าไปดึงกางเกงกันอีกล่ะ โดนใบแดงไม่รู้ด้วยนะ

ถือว่าเกือบไปเหมือนกัน สำหรับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่ตอนแรกในศึกลีคคัพ หรือ อีเอฟแอลคัพ รองรอบชนะเลิศที่เจอกับฮัลล์ ซิตี้ นัดแรกชนะไป 2-0 พอมานัดที่สองเล่นกันได้ไม่เอาอะไรเลย แย่กันไปหมด ทำให้ผลสกอร์ออกมาแพ้ไปซะ 2-1 เล่นเอากองเชียร์ทั้งขาประจำ และเฉพาะกิจบ่นกันอุบเลย แต่ถ้ามองในแง่บวกการแพ้ครั้งนี้ถือว่ามาถูกที่ถูกเวลาเหมือนกัน

การเล่นที่ดูเนือยลงไปอย่างชัดเจน

ในเกมนี้ต้องบอกว่าหลังจากที่กรำศึกมาอย่างติดต่อกันตั้งแต่ช่วงคริสต์มาส นักเตะหลายคนเริ่มออกอาการล้าอย่างเห็นได้ชัดเลย บางคนวิ่งเริ่มไม่ออกแล้ว นอกจากนั้นนักเตะเริ่มเจอสิ่งที่เรียกว่าความกดดันย้อนกลับมาเล่นงานตัวเองแล้ว จากเกมจะเห็นเลยว่าบางครั้งนักเตะเหมือน “ตั้งใจ” เล่นมากเกินไปจนไม่เป็นธรรมชาติสุดท้ายก็เกร็งตัวเองกันไปหมด เหมือนกับแบกคำว่าแพ้ไม่ได้ ห้ามแพ้ไว้บนบ่า หรือ สถิติชนะรวด สถิติไม่แพ้ ทำให้พวกเค้าดูเครียดมากเกินไปจนทำให้เล่นออกมาได้แย่

การปลดปล่อยความกดดัน

จริงอยู่ว่าไม่มีใครอยากแพ้ในเกมการแข่งขันแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นนัดไหนก็ตาม แต่ว่าการพ่ายแพ้ในครั้งนี้มันแย่ก็จริง แต่หากมองให้ดีมันก็อาจจะไปปลดปล่อยความกดดันที่มีอยู่ได้เหมือนกัน เมื่อไม่ต้องมาพะวงกับสถิติอะไร อาจจะทำให้นักเตะเล่นกันได้อย่างสบายๆมากขึ้น เหมือนช่วงแรกของการไล่เก็บแต้มขึ้นมาตอนนั้นพวกเค้าไม่กดดันอะไรเลย คิดแต่จะเล่นฟุตบอลเท่านั้นเอง

การสร้างแรงกระตุ้นใหม่ๆ

เมื่อแพ้แล้ว ต้องมาดูกันว่า ผู้จัดการทีมจะสามารถนำความพ่ายแพ้(แต่ยังเข้ารอบ) นี้มาเป็นแรงกระตุ้นให้กับตัวเองและทีมได้หรือไม่ ถ้าทำได้ การได้อัดฉีดแรงกระตุ้น เหมือนรีบูทตัวเองในครั้งนี้ น่าจะทำให้แมนยู กลับมาคึกคักสดชื่นจนพุ่งชนความสำเร็จได้อย่างน้อย ก็หนึ่งถ้วยแชมป์แน่นอน

 

หากจะบอกว่าพรีเมียร์ลีคอังกฤษนั้นยากตรงไหน นอกจากการแข่งขันในสนามที่ทุกทีมพร้อมที่จะแพ้ ชนะ เสมอกันได้แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่อันตรายมากที่สุดสำหรับเรื่องนอกสนามก็คือ สื่อของอังกฤษ พวกเค้าพร้อมที่จะสร้างฝันร้ายให้กับนักเตะและผู้จัดการทีมทุกคนที่เข้ามาทำงานในอังกฤษ ฤดูกาลนี้บรรดาผู้จัดการทีมโดนกันมาหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคอนเต้, จ่ามู, เป๊บ และล่าสุดเป็นคล็อปป์ ที่กำลังโดนอยู่ตอนนี้

การตีแผ่เหมือนกับตัวเองเป็นกูรู

สิ่งแรกที่เหล่าสื่ออังกฤษมักจะทำเป็นประจำเลยก็คือ การตีแผ่วิเคราะห์การเล่นเกม แท็คติค ฟอร์เมชั่น และการเปลี่ยนตัวในเกมต่างๆเหมือนกับตัวเองเป็นกูรูรู้ทุกเรื่อง แน่นอนว่าอาจจะมีบ้างที่เชิญเหล่าบรรดานักเตะมาเป็นคอมเมนเตเตอร์ แต่เอาจริงๆบรรดาคอมเมนเตเตอร์เหล่านั้น หากได้ลงไปเป็นผู้จัดการทีมจริงๆอาจจะทำได้แย่กว่าคนที่ไปตามด่าเค้าก็ได้

พร้อมที่จะด่าทุกคนที่ผิดพลาด

หน้าที่ของสื่อมวลชนต้องมีความเป็นกลาง และเท่าเทียมกัน แน่นอนว่าเรื่องนี้สื่ออังกฤษจัดให้อย่างเต็มที่เลย เพราะไม่ว่าเราจะเป็นใครมาจากไหน จากชาติไหน มีโปรไฟล์ดีแค่ไหน หากพลาดสื่ออังกฤษก็พร้อมที่จะจัดหนักถล่มเละแบบไม่ไว้หน้ากันเลย อย่างฤดูกาลนี้ ทีมหัวแถวของตารางหากใครฟอร์ไม่ดี โดนกันหมดไม่ว่าจะเป็นผู้จัดการทีมหรือนักเตะ อันนี้มองว่าดีก็ดี แต่หากมองอีกมุมมันก็เหมือนเป็นการทำร้ายกันเกินไป

ข่าวจริงข่าวลวงมาได้หมด

ความอันตรายของสื่ออังกฤษอีกอย่างหนึ่งก็คือ พวกเค้าสามารถถ่ายทอดข่าวออกมาได้หมด ไม่ว่าจะเป็นข่าวจริงและข่าวลวง ถ้าเป็นข่าวจริงก็แล้วไป แต่ถ้าเป็นข่าวลวงนี่ถือว่าสร้างความปั่นป่วนให้ได้เหมือนกัน ว่าแล้วก็ต้องมาดูว่าผู้จัดการทีมที่โดนจัดหนักกันอยู่นี่จะเอาตัวรอดอย่างไร

ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ช้าเกินแกงอีกเรื่องหนึ่งของประมุขฟุตบอลบ้านเราที่ตอนนี้ก็ยังไม่ตัดสินใจว่า สุดท้ายแล้วจะเอายังไงกันแน่ในเรื่องของอนาคตกุนซือทีมชาติไทย ว่าตกลงแล้วเราจะได้คนหน้าเดิมที่คุ้นเคยอย่าง ซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง หรือว่าจะเป็นกุนซือหน้าใหม่จากต่างชาติหรือจะเป็นคนไทยกันแน่

การต่อสัญญาควรพูดก่อนจะหมดสัญญา

หลังจากที่สัญญาของซิโก้จะหมดลงวันที่ 1 ก.พ. อีกไม่กี่วันข้างหน้า แต่ตอนนี้ทางสมาคมก็ยังไม่สามารถคุยเรื่องการต่อสัญญาของซิโก้ได้ลงตัว ส่วนตัวมองว่าหากต้องการจะคุยเรื่องสัญญาจริงๆ ก็ควรจะคุยกันตั้งแต่สัญญายังไม่หมดลง เพื่อให้การทำงานต่อเนื่อง หรือชัดเจนว่าจะเอายังไง ไม่ใช่ให้ไปคุยกันหลังจากสัญญามันหมดลงไปแล้ว ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นหากซิโก้ไม่ยอมคุยด้วยจะมาหาว่า ซิโก้ ไม่รักชาติไม่ได้นะ

ยิ่งช้าเวลาเตรียมทีมยิ่งน้อย

สำหรับทีมฟุตบอลไทยเรา ชุดใหญ่มีคิวเตะนัดสำคัญอย่างเกมคัดบอลโลกรอบสุดท้าย ที่ถึงแม้ว่าเราจะหมดลุ้นไปบอลโลกอย่างแน่นอน แต่ก็ต้องเตะให้ดีที่สุด แล้วทีนี้เมื่อตกลงกันช้าว่าจะเอาใคร มันก็จะยิ่งมีเวลาเตรียมทีมน้อยลงไปอีก นัดแรกที่จะเปิดบ้านล้างตากับซาอุวันที่ 23 มี.ค. นี้แล้ว ทำอะไรต้องรีบหน่อย

เกมการเมืองกำลังจะทำงานใหญ่พัง

ต้องยอมรับเลยว่าการกระทำแบบนี้ เหมือนกับการเล่นการเมืองอย่างหนึ่ง เราเองก็ขอเตือนว่าอย่าเล่นการเมืองเลย เพราะมันกำลังจะทำให้ฟุตบอลทีมชาติไทยชุดใหญ่กำลังจะพังลงไปเรื่อยๆ อุตสาห์สร้างทีม เรียกศรัทธากลับคืนมาได้แล้วทั้งที อย่าให้เราต้องถอยหลังกลับลงคลองไปอีกเลย ขอร้องละ จะเอาอะไรก็เอาเถอะ

หากพูดถึงหนึ่งในนักเตะที่ถือว่า ทำผลงานในฤดูกาลที่ผ่านมาได้อย่างโดดเด่นเหลือเกิน แต่พอมาฤดูกาลนี้ กลับทำผลงานได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นั้น คงต้องบอกว่า ไม่อาจจะปฏิเสธได้แน่นอนว่าหนึ่งในนักเตะที่กล่าวถึงนี้ ก็คือ แบ็คซ้ายสำรองของเชลซีอย่าง ฟิลิปเป้ หลุยส์ นั่นเอง เพราะต้องบอกว่า สำหรับฤดูกาลนี้ผลงานของ ฟิลิปเป้ หลุยส์ กับทีมใหม่ของเขาอย่างเชลซีนั้น ถือว่าเป็นผลงานที่ค่อนข้างผิดคาดไปหน่อยจริงๆ เพราะฤดูกาลนี้เจ้าตัวโชว์ผลงานออกมาได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก จนทำให้ตลอดหลายนัดที่ผ่านมาของฤดูกาลนี้นั้น ฟิลิปเป้ หลุยส์ จึงเป็นได้แค่ตัวสำรองของเชลซีนั่นเอง

โดยทั้งนี้สำหรับโดยส่วนตัวแล้วก็ต้องบอกว่า สำหรับการที่ฤดูกาลนี้ที่ผ่านมา ฟิลิปเป้ หลุยส์ นั้นไม่สามารถทำผลงานออกมาได้ดีเท่าที่ควร จนเป็นได้แค่ตัวสำรองกับเชลซีนั้น ซึ่งหากว่ากันตามผลงานแล้วก็ต้องบอกว่า ไม่แปลกใจเท่าไหร่นัก เพราะแม้ฤดูกาลที่ผ่านมา เจ้าตัวอาจจะโชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่นกับทีมเก่าอย่างแอตมาดริดก็ตาม แต่พอมาฤดูกาลนี้ ถ้าหากใครที่ได้ติดตามดูเชลซีแข่งอยู่บ่อยๆนั้น น่าจะเข้าใจกันแน่นอนว่าทำไมเขาถึงเป็นได้แค่ตัวสำรองเท่านั้น เพราะหากดูจากหลายๆนัดที่เขาได้รับโอกาสลงเล่นนั้น เห็นได้ชัดเลยว่า ในส่วนของเกมรับนั้น เจ้าตัวยังเป็นรองตัวหลักอย่าง เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า จริงๆ แม้ว่าในส่วนของเกมรุก ฟิลิปเป้ หลุยส์นั้นจะทำได้ดีกว่าก็ตาม แต่เพราะด้วยสไตล์การทำทีมของมูริญโญ่นั้น ที่เน้นรับแน่นเอาไว้ก่อน จึงไม่แปลกที่เขาไม่สามารถยึดตำแหน่งตัวจริงในทีมเชลซีได้เลยนั่นเอง

และด้วยเหตุนี้นั่นเอง ก็เลยทำให้คิดว่า บางทีอาจจะเป็นการดีกว่าสำหรับเขา หากว่าหลังจบฤดูกาลนี้ ฟิลิปเป้ หลุยส์นั้นควรเลือกกลับไปอยู่กับทีมเก่าอย่างแอตมาดริดดีกว่า เพราะคิดว่าน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับเขา เพราะเชื่อว่า หากเขากลับไปอยู่แอตมาดริดอีกครั้ง ยังไงทางด้านดิเอโก้ ซิโมเน่นั้น ก็น่าจะเลือกเขาเป็นตัวหลักของทีมอีกครั้งแน่นอน เพราะด้วยฟอร์มและผลงานของแบ็คตัวใหม่ที่มาทดแทนเขาในฤดูกาลนี้นั้น ทำผลงาได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก เลยทำให้เชื่อว่า หากเขากลับไปเป็นตัวเลือกของซิโมเน่อีกครั้ง เขาน่าจะได้เป็นตัวเลือกแรกของทีมแน่นอน และนั่นก็หมายความว่า โอกาสที่เขาจะลงสนามมากขึ้นนั้น ก็จะมีมากกว่าการอยู่กับเชลซีแน่นอน ซึ่งมันจะเป็นผลดีต่อตัวเขานั่นเอง.